ได้อ่านเรื่องของหมอแมวที่เขียนไว้เกี่ยวกับคนที่ฆ่าตัวตาย อ่านแล้วทำให้รู้อะไรขึ้นมาอีกมากมาย อยากให้คนที่กำลังคิดจะฆ่าตัวตายได้อ่านก่อนจะทำอะไรลงไป
ความทรมานที่ควรรู้ก่อนคิดฆ่าตัวตาย #1 by-หมอแมว-
เรื่องมันอาจจะแหวกแนวไปนิดนึงแต่ผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อคนที่มีความคิดหุนหันใจเร็ว เพราว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาผมได้เห็นคนที่ฆ่าตัวตาย ทั้งตั้งใจจริงๆ หรือแค่ประชดหรือหลอกคนอื่น….. และก็เห็นทั้งสองพวกนี้ที่ตายจริงและไม่ตาย บางคนได้ตายสมใจ บางคนไม่ได้กะจะตายแต่ก็ตาย แต่หลายๆคนไม่ตายแถมยังต้องทนทรมานไปตลอดชีวิต ก็เลยเอามาเล่า แต่ก็ขอให้ชั่งใจก่อนอ่านแล้วกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้อยู่เวรดึก ตอนตี 3 ก็มีคนไข้โดนเข็นเข้ามาโดนนอนนิ่งไม่พูดอะไร มีคนนำส่งบอกว่ากินยาฆ่าตัวตาย พอไปถึงปลุกยังไงก็ไม่ตื่นแต่พอเปิดเปลือกตา ตาก็จ้องประสานกันก่อนที่จะรีบหลบ ก็เลยปลุกด้วยวิธีการทดสอบความรู้สึกตัวคือกดที่กระดูกสันอก ผลคือฟื้น
“กินยาอะไรมา” ผมถาม……….พลางตรวจร่างกายไปด้วย
“จะตอบหรือไม่ตอบ ถ้าไม่ตอบล้างท้องนะ!!! พี่ขอ set ล้างท้อง เอา 3 ลิตรยาชาไม่ต้อง”
ผมพูดออกไป ทั้งที่รู้ว่ายาชาน่ะ ตามปกติก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว
คงจะได้ยินสามลิตรและไม่เอายาชา เขาก็เลยตอบออกมา “กินพาราไปยี่สิบเม็ด”
ความรู้ : ยาพาราเซตตามอล เวลาเข้าไปในร่างกายจะโดนทำลายที่ตับ ขั้นตอนการกำจัดยาออกไปจะเกิดสารพิษต่อตับ ซึ่งปริมาณที่เป็นพิษ คำนวณคร่าวๆก็อยู่ที่15-20เม็ดในคราวเดียว ซึ่งระดับเพียงเท่านี้ ทำให้ตับทั้งใบ เจ๊งไปในทีเดียวได้
ผมก็เลยจัดการเรื่องล้างท้อง และใส่ผงถ่านดูดพิษ ลองถามถึงเรื่องยาชนิดอื่นๆก็ไม่ปรากฎว่ามี หลังล้างท้อง ซึ่งก็ล้างกันจนหน้าดำหน้าแดง(หน้าคนไข้) เราก็เริ่มกระบวนการที่ทรมานที่สุดในการรักษา นั่นคือกินยาถอนพิษ…………
ยาถอนพิษของพารา ที่จริงแล้วคนทั่วไปใช้มันในแง่ของการขับเสมหะโดยเอาผงมาละลายน้ำแล้วดื่มน้ำมากๆ….. กินแล้วชื่นใจดีกินทีละซอง แต่นี่ต้องกินครั้งแรก 50 กว่าซอง……….(แหวะ) และหลังจากนั้นผมก็ส่งขึ้นหอผู้ป่วยและสั่งให้ “ให้ยาตัวนี้ 25 ซองละลายน้ำ ให้ทุก4ชั่วโมง” และไม่ลืมที่จะไม่สั่งยาแก้คลื่นไส้ให้ไปด้วย อยากได้ไปขอเอาเอง…… ว่ากันว่าคนที่เคยโดนการรักษาแบบนี้จะคลื่นไส้และไม่คิดฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้อีกเลย
แต่ความทรมานยังไม่หมด สำหรับบางคนที่กินมามากๆ และทิ้งช่วงนานจนยาดูดซึมเข้าไปมาก ยาก็จะทำลายตับ
ตับคนเรามีหน้าที่กำจัดของเสียและสร้างสารต่างๆไว้ใช้ในร่างกาย พอตับเจ๊ง ร่างกายก็แย่ อวัยวะระบบอื่นๆก็เสียหายและตายในที่สุด ก่อนตายหลายคนมีอาการเพ้อ ตัวเหลืองตาเหลืองไม่รู้สติ….. ทรมานทั้งตนเองและญาติพี่น้อง
ดังนั้นพาราเซตตามอล ไม่ใช่ยาที่เหมาะในการกินประชดถ้าไม่คิดจะตายจริง …. หากจะประชดลองวิตามินซีจะดีกว่า
ของต่อไปที่ไม่อยากให้ลองคือ พวกยาฆ่าหญ้า
เมื่อตอนสมัยเรียนหมอได้ไม่นาน ได้รับคนไข้ผู้หญิงคนนึง อมยาฆ่าหญ้าแกล้งประชดสามี ให้เข้าใจผิดว่าจะฆ่าตัวตาย…………. หลังเข้าใจกันได้ ไม่นานก็เกิดอาการผิดปกติ เหนื่อย หอบ และมาเข้าโรงพยาบาล ได้ตรวจเต็มที่ และพบว่า ยาฆ่าหญ้าได้ทำลายปอดไปแล้ว ญาติๆร้องห่มร้องไห้ ขอให้หมอหายาถอนพิษและรักษาให้หาย…………. แต่โชคร้ายที่ไม่มียาถอนพิษ มีแต่การประคับประคองอาการและประคองระบบต่างๆ ที่แย่ไปแล้วให้ดีขึ้น
สำหรับรายนี้ นอนเหนื่อยหอบใส่ท่อช่วยหายใจ และก็ตายไปในสัปดาห์ที่สอง เป็นสองสัปดาห์แห่งความทรมานทั้งคนไข้ ญาติ และผู้รักษา
พิษของยาฆ่าหญ้า จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย และทำลายอวัยวะที่ใช้ออกซิเจนทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่ปอดจะโดนทำลายมากที่สุด และยิ่งให้ออกซิเจน การทำลายก็จะยิ่งมากขึ้น
ยังไม่มีการรักษาที่รับรองว่าจะหายเลย…… เมื่อก่อนผู้ป่วยส่วนใหญ่ตายทั้งสิ้น รวมทั้งรายนี้ที่แค่อม ยังไม่ได้แม้แต่จะกลืนเข้าไป
แม้แต่เมื่อก่อนโน้น ก็เคยมีกรณีนักเรียนแพทย์ศิริราช ที่เวลาก่อนสอบมักจะซื้อบ๊วยเค็มมากินเพื่อให้ตาแข็งอ่านหนังสือได้ดึกๆ สมัยนั้นร้านที่ซื้อประจำคือร้านที่อยู่ตรงข้ามโรงพยาบาล อยู่มาวันหนึ่งหลังสอบ ก็เกิดอาการเหนื่อยขึ้น ได้ไปตรวจและรักษา มีอาจารย์หลายๆท่านมาช่วยกัน แต่ก็ยื้อชีวิตไว้ไม่ได้ จากการตรวจสอบ ภายหลังพบว่ามีการคลุกยากับบ๊วยเพื่อกันแมลง
เหตุการณ์นี้ผ่านมายี่สิบปี เพื่อนๆของนักเรียนแพทย์คนนั้นมาเป็นอาจารย์กันหลายคน ต่างก็ศึกษางานวิจัยใหม่ๆในเรื่องนี้เสมอทั้งที่ไม่ได้เป็นสาขาที่ตนอยู่ ….. อัตราการตายก็นับว่ายอมรับได้ แต่สิ่งที่พูดเหมือนกันคือ “เป็นแล้วไม่ว่าหายหรือตายทรมานกันทั้งนั้น”
ดังนั้นยาฆ่าหญ้าเป็นอะไรที่ไม่ควรลอง ไม่ว่าจะฆ่าตัวตายจริงหรือประชด
สำหรับตอนนี้ขอยกตัวอย่างเพียงสองชนิดนี้ก่อน ซึ่งก็เป็นสองชนิดยอดฮิตในเมืองไทย เนื่องจากหนังละครชอบทำให้คิดว่าตายเร็วไม่ทรมานทั้งที่จริงๆทรมานมาก
พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อ สำหรับเรื่องที่ไม่น่าทำอื่นๆ
วันที่ : 2005-05-18 03:07:39
ความทรมานที่ควรรู้ก่อนคิดฆ่าตัวตาย #2 by-หมอแมว-
ต่อจากกระทู้ที่แล้ว เราว่าด้วยเรื่องการใช้ยาพาราเซต และการใช้ยาฆ่าหญ้า เราจะมาว่ากันด้วยการฆ่าตัวตายที่ผมเกลียดมากที่สุด นั่นคือ การฆ่าตัวตายด้วยยาล้างห้องน้ำ
การฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ มักไม่ถึงตายง่ายๆ และมักจะทำให้ต้องมารับการรักษาเป็นเวลานานในโรงพยาบาล เป็นที่มาของความเกลียดส่วนตัว เพราะสมัยเรียนและมีผู้ป่วยเข้ามา ผมต้องมานั่งเขียนประวัติ ตรวจร่างกาย และสภาพทางจิต มานอน1วัน ตรวจเสร็จกลับบ้าน ผ่านไปสองสัปดาห์ก็จะกลับเข้ามาใหม่ ผมก็ต้องเขียนใหม่ข้อความเดิมๆ แล้วก็กลับไปอีก ผ่านไปอีกสองสัปดาห์ ก็กลับมาตรวจรักษาเพิ่มอีก ผมอยากเอาใบที่เขียนคราวก่อนๆไป xerox แล้วเอามาแปะจริงๆ
เข้าเรื่องดีกว่า
ต้องปูพื้นก่อนว่าเมื่อเรากินอาหาร อาหารจะเดินทางดังนี้คือ ปาก คอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ส่วนหลอดอาหาร ฝังตัวอยู่ในช่องอก ซึ่งเป็นที่ตั้งของหัวใจ
……………
ผมไม่เข้าใจว่า ความเข้าใจของคนที่จะฆ่าตัวตายเกี่ยวกับการกินยาล้างห้องน้ำแล้วตายมาจากไหน แต่เดาว่าคงมาจากละครทีวีที่ว่ากินแล้วน้ำลายฟูมปาก ซึ่งไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่ที่เท็จแน่ๆคือในทีวีกินแล้วตายหมด ถ้าไม่ตายก็รอดด้วยการล้างท้อง
ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เจอคนไข้กินยาล้างห้องน้ำมาคือตอนเรียนปี 4 วันนั้นไปห้องฉุกเฉินและได้เห็นภาพนั้นเข้า คนไข้มีน้ำลายเปรอะตามปากและไหลมาตามแก้ม ปากแดงก่ำ สิ่งที่คาดเดาว่าจะเกิดขึ้นคือล้างท้อง……….
นั่นคือความเชื่อของเด็กโง่ๆคนนึง ซึ่งสงสัย และได้ถามพี่ๆว่าทำไมไม่ล้างท้อง ซึ่งพี่ๆก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะกำลังง่วนกับการเขียนประวัติและเขียนใบสั่งการรักษาให้เจาะเลือดให้น้ำเกลือ จนมีเพื่อนคนนึงพูดทำนองว่า ทำไมพวกพี่ๆเห็นการเขียนประวัติสำคัญกว่าชีวิตคน
พี่เงยหน้ามาบอกว่า ถ้าพวกผมเป็นญาติคนไข้และคนไข้ไม่ได้อยู่ในอันตรายมาก จะอธิบายขั้นตอนการรักษาให้ฟัง
แต่พวกผมเป็นนศพ. เรื่องทางการแพทย์ ถ้ายังไม่มีความรู้ก็ไม่ควรวิจารณ์เพราะการแพทย์คือเรื่องของเหตุผลไม่ใช่เรื่องของความรู้สึก
…….
สรุปคือ คนไข้คนนี้ ไม่ต้องทำอะไร นอนให้น้ำเกลือ เจาะเลือด แล้วก็ขึ้นตึก ผ่านไประยะนึงก็ได้ไปส่องกล้องแล้วกลับบ้าน จากนั้นนัดมาตรวจเรื่อยๆเป็นระยะ ….
…….
ต่อจากนั้นก็เป็นความทรมานที่จะเริ่มขึ้นครับ
ความทรมานขั้นแรก
เมื่อกินยาล้างห้องน้ำ มันจะกัดไปตามปากและคอ ไปถึงกระเพาะ จากนั้นจะตามด้วยอาการกระอักกระอ่วน ไม่มีเรี่ยวแรง
จากนั้นก็จะโดนพาไปโรงพยาบาล ไปนอนหัวสูงๆ ถูกเจาะเลือดและให้น้ำเกลือ ช่วงนี้จะรู้สึก
- ทำไมหมอไม่ทำอะไรเลย
- แสบคอ หิวน้ำ ปวดท้อง แต่หมอจะไม่ให้กินน้ำหรืออาหาร
- คลื่นไส้ อาจอาเจียนได้
ความเชื่อ: กินยาล้างห้องน้ำต้องล้างท้อง (ที่มา : ละครหลังข่าว)
ความจริง: ลองนึกถึงกรดหรือด่างที่กัดพื้นผิวหลอดอาหาร
กรดจะทำให้เนื้อกลายเป็นเหมือนเนื้อที่โดนต้มจนแข็ง ด่างจะละลายเนื้อดุจดั่งเนื้อที่โดนหมักจนยุ่ย
การล้างท้องต้องสอดใส่ท่อยางเข้าไปในท่ออาหาร แล้วลองนึกต่อไปว่า เมื่อสอดท่อเข้าไปในเนื้อที่แข็งหรือเนื้อยุ่ยๆที่ไม่ยืดหยุน แล้วทะลุเข้าไปในช่องอกที่มีหัวใจเต้นตุบๆอยู่…… หึหึ หัวใจก็จะโดนไปด้วยและก็ตายไปเลย และก็ห้ามกินอะไรทั้งนั้ ด้วยเหตุผลเดียวกันคืออาหารหรือน้ำที่กลืนเข้าไปอาจดันทะลุออกจากหลอดอาหารได้
ความเชื่อ : ต้องใส่ไข่ขาว น้ำ หรือผงถ่านเพื่อดูดซับกรด
ความจริง : ถ้าเรียนเคมีมาคงเข้าใจ ว่าของพวกนี้ไร้ค่าเมื่อเจอกับกรดและด่าง ใส่ไปให้เสี่ยงกับการทะลุเปล่าๆ
นอกจากนี้ การใส่ผงถ่านยังไปเคลือบแผล ซึ่งต่อไปหากส่องกล้องเพื่อการดูแผลและหยุดเลือดก็จะทำไม่ได้เพราะมองไม่เห็น
ความจริงที่ตามมา คือ ช่วงนี้ก็จะประคับประคองตามอาการไปก่อน หากมีการทะลุหรือว่าร่างกายดูดกรดด่างเข้าไป ก็จะแก้เป็นเปลาะๆไปเช่นผ่าตัดหรือปรับระดับในเลือด
————————-
ความทรมานขั้นต่อไป
หลังจากนั้น ก็จะต้องไปส่องกล้องเพื่อดูความเสียหายของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ถึงจะทรมาน แต่ก็ไม่ได้มากมายนัก แค่พะอืดพะอมเจ็บปากเจ็บคอไปอีกหลายวัน
หลังจากนั้นก็จะออกจากโรงพยาบาล จะเริ่มกินข้าวหรือของโตๆไม่ได้ ต่อมาจะกินข้าวต้มได้อย่างเดียว และหลอดอาหารจะตีบจนกินได้แต่น้ำ
บางคนหลอดอาหารอาจโชคดีไม่โดน แต่หูรูดกระเพาะจะโดน จนมันบวมโต ทำให้อาหารเข้าสู่ลำไส้ได้ยาก จะมีอาการหิวแต่กินไม่ได้ เพราะกินนิดเดียวก็จะอิ่ม ท้องอืดแน่น เรียกว่าหิวและอิ่มพร้อมๆกันไป ช่วงนั้นจะต้องมาโรงพยาบาลเพื่อ
- ทำการถ่างขยายหลอดอาหาร ด้วยการใส่ท่ออุปกรณ์…. การทำแบบนี้ก็ได้ผลในหลายๆคน แต่ในบางคนก็ทำไม่ได้เพราะอาการหนักจากการกินสารมาก หลอดอาหารเสียหายหนัก ถ่างเท่าไหร่ก็อาจจะไม่ได้ผล
ในคนที่ถ่างไม่สำเร็จ ก็จะลงเอยด้วยการผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่(ที่ปกติมีอุจจาระอยู่) เอามาแทน (แต่การใช้งานก็ไม่ดีเท่าเดิม) - ทำการผ่าตัดหรือถ่างขยายหูรูดกระเพาะเพื่อให้อาหารไหลได้ ซึ่งก็เช่นเดียวกันคือถ้าการเสียหายมาก ก็แก้ไขด้วยการถ่างไม่ได้ผล ก็ต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดในรูปแบบต่างๆกันไป
(ช่วงขั้นนี้เป็นขั้นที่หมอหลายคนลำบากใจมาก เนื่องจากคนไข้หลายคนที่รักษามักจะคิดว่าหมอทำผิดทำพลาด จึงแก้ไขความตีบของอวัยวะไม่หาย ซึ่งความจริงหลักๆก็เกิดจากความเสียหายจากการกินกรดด่างของคนไข้แต่แรกเอง….)
———————–
ความทรมานลำดับที่สาม
เป็นความทรมานที่จะเกิดไปอีกหลายสิบปี เนื่องจากกินลำบาก กินไม่อิ่ม เสียงอาจแหบแห้ง…. ปวดท้องเรื้อรัง ฯลฯ
—————–
และนี่คือความทรมานประมาณนึงที่พอจะบอกได้ของคนที่กินน้ำยาล้างห้องน้ำ ที่กินแล้วมักไม่ตาย แต่มีผลข้างเคียงและทรมานระยะยาวมาก คนไข้ที่เคยเจอหลายคน ทรมานและเสียใจกับการกระทำที่ได้ทำลงไป หลายคนเลือกที่จะฆ่าตัวตายครั้งต่อไปด้วยวิธีอื่น ดังนั้นอย่ากินเลยครับ เพื่อตัวคุณเองและคนรอบข้างที่รักคุณ…….
ปล. คนที่ถามมาว่าฆ่ายังไงให้ชัวร์ ผมขอแนะนำว่าไม่ควรฆ่าตัวตายครับ เพราะว่าลำบากพวกผมต้องไปชันสูตรศพ เบื่อเหนื่อย แถมคนที่ตายยังโดนหมอตำรวจและผู้เกี่ยวข้องด่าตามหลังอีก ไม่เอาครับไม่เอา
เรื่องหน้าเอาเรื่องเบาๆมั่งดีกว่า ครั้งหน้าจะลงเรื่องภูมิแพ้ครับ เห็นว่าหลายคนเป็นกันเยอะ
วันที่ : 2005-05-19 21:23:18
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++